Main Menu
BANGKOK PORTAL

  • ไทย
  • Eng

สารสนเทศขบวนการเสรีไทย

จอมพล ป. พิบูลสงคราม รัฐประหารตนเอง
29 พฤศจิกายน 2568
จอมพล ป. พิบูลสงคราม


 
รัฐประหารตนเอง
.
เหตุการณ์ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 หรือที่เรียกขานกันในหน้าประวัติศาสตร์ว่า "รัฐประหารเงียบ" (Silent Coup) หรือ "รัฐประหารวิทยุ" (Radio Coup) เป็นหมุดหมายที่สำคัญที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในทศวรรษ 2490 ที่ส่งผลสะเทือนรุนแรงต่อโครงสร้างอำนาจรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ และชะตากรรมของขบวนการประชาธิปไตยสายปรีดี พนมยงค์ อย่างถอนรากถอนโคน
.
เช้าวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 แกนนำคณะรัฐประหาร 9 นาย นำโดย พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ, พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์, พล.ท. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และนายทหารระดับสูงอื่น ๆ ได้เข้าพบ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกดดันให้จอมพล ป. ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่จอมพล ป. ปฏิเสธ คณะรัฐประหารจึงตัดสินใจดำเนินการโดยไม่รอความยินยอมจากนายกรัฐมนตรี และจัดตั้ง "คณะบริหารประเทศชั่วคราว" ขึ้น และเปิดปฏิบัติการ "วิทยุ" (Radio Coup) โดยไม่มีการเคลื่อนกำลังทหาร
.
สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่รายการพิเศษและอ่านประกาศของ "คณะบริหารประเทศชั่วคราว" สาระสำคัญของประกาศคือ ประกาศยุบสภา ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ทันที และให้นำรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 กลับมาใช้บังคับแทน โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2492 เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และเปิดโอกาสให้คอมมิวนิสต์แทรกซึม
.
คณะบริหารประเทศชั่วคราว ได้นำความกราบบังคมทูล พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ประธานองคมนตรีและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพื่อขอให้ทรงลงพระนามรับรองการยกเลิกรัฐธรรมนูญและแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ แต่พระองค์เจ้าธานีนิวัตทรงปฏิเสธที่จะลงพระนาม โดยให้รอพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง แต่คณะรัฐประหารตัดสินใจดำเนินการต่อไปโดยพลการ
.
จอมพล ป. ตระหนักดีว่าตนเองไม่มีฐานกำลังทหารที่แท้จริง (เนื่องจากอำนาจคุมกำลังอยู่ที่สฤษดิ์และเผ่า) จึงจำยอมเข้าร่วมกับคณะรัฐประหารและรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งภายใต้กติกาใหม่ เหตุการณ์นี้จึงถูกเรียกว่า "การรัฐประหารตัวเอง" เพราะนายกรัฐมนตรีคนเดิม ยึดอำนาจจากรัฐบาลของตนเองเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญที่ตนเองเคยบริหารภายใต้
.
จนในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2494 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับจากสิงคโปร์ด้วยเรือพระที่นั่ง คณะผู้ก่อการรัฐประหารไปรอรับเสด็จด้วยท่าทีที่นอบน้อม แต่แฝงด้วยการกดดันทางการเมือง และได้เสนอข้อเรียกร้องของคณะทหาร คือต้องการให้ทรงลงพระปรมาภิไธยรับรองการนำรัฐธรรมนูญ 2475 มาใช้ และแต่งตั้งสมาชิกสภาประเภทที่ 2 (สส. แต่งตั้ง) ซึ่งเป็นฐานอำนาจของทหาร
.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและคณะองคมนตรี (เช่น กรมหมื่นพิทยลาภฯ) ทรงตระหนักดีว่าในขณะนั้นฝ่ายทหารกุมอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งอาวุธและกำลังพล การปฏิเสธทันทีอาจนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงหรืออันตรายต่อสถาบันฯ ผลสุดท้ายคือ "ข้อตกลงร่วมกัน" โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยอมลงพระปรมาภิไธยในประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2475 แต่มีเงื่อนไขว่า จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังเพื่อปรับปรุงให้เหมาะสม
.
การรัฐประหาร 2494 ไม่เพียงแต่เปลี่ยนหน้ารัฐบาล แต่เป็นการวางรากฐานโครงสร้างการเมืองไทยแบบ "อำมาตยาธิปไตย" ที่ทหารและข้าราชการเป็นผู้เล่นหลัก
.
เมื่อคณะทหารกุมอำนาจรัฐธรรมนูญได้เบ็ดเสร็จ จึงเริ่มกวาดล้างผู้เห็นต่าง โดยใช้ข้ออ้างเรื่อง "ภัยคอมมิวนิสต์" มาจับกุมกวาดล้างปัญญาชน นักเขียน และนักการเมืองฝ่ายค้านจำนวนมาก ในข้อหา "กบฏ" ซึ่งต่อมาเรียกว่า "กบฏสันติภาพ" ทั้ง ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์, นายปาล พนมยงค์, กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) และสมาชิกขบวนการสันติภาพ เป็นความพยายามตัดบทบาทตระกูลพนมยงค์ออกจากการเมืองไทย
.
การรัฐประหาร พ.ศ. 2494 สะท้อนความพยายามสูงสุดของคณะราษฎรสายทหาร (กลุ่มจอมพล ป.) และคณะรัฐประหาร 2490 ในการจำกัดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่ในกรอบที่ทหารควบคุมได้ การฉีกรัฐธรรมนูญ 2492 คือการทำลายกลไก "วุฒิสภาแต่งตั้ง" และ "องคมนตรี" ที่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของสถาบันฯ อย่างไรก็ตาม ชัยชนะนี้เป็นเพียงระยะสั้น เพราะในระยะยาว สถาบันกษัตริย์ได้ปรับยุทธศาสตร์ไปสร้างความชอบธรรมทางสังคมและบารมี จนสามารถกลับมามีบทบาทนำได้อีกครั้งหลังปี 2500